น้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดในกระบวนการผลิต คราฟต์เบียร์ เนื่องจากมันเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดในเบียร์ คุณภาพและคุณสมบัติของน้ำมีผลกระทบต่อรสชาติและลักษณะของเบียร์ นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับน้ำที่ใช้ในการทำคราฟต์เบียร์:
สารบัญ
Toggleคุณสมบัติที่สำคัญของน้ำสำหรับทำคราฟต์เบียร์
ความกระด้างของน้ำ (Water Hardness)
น้ำกระด้างมีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียมสูง ซึ่งมีผลต่อกระบวนการทำงานของยีสต์และรสชาติของเบียร์
น้ำอ่อนมีแร่ธาตุน้อยกว่า มักใช้สำหรับเบียร์ที่ต้องการรสชาติอ่อนนุ่ม

ค่า pH (pH Level)
ค่า pH ของน้ำมีผลต่อกระบวนการต้มเบียร์ ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับน้ำที่ใช้ทำเบียร์อยู่ระหว่าง 5.2-5.5
ค่า pH ที่เหมาะสมช่วยให้กระบวนการต้มและหมักเบียร์เป็นไปอย่างราบรื่น
แร่ธาตุในน้ำ (Mineral Content)
- แคลเซียม (Calcium): ช่วยในการทำงานของเอนไซม์และการหมัก ทำให้เบียร์มีความเสถียร
- แมกนีเซียม (Magnesium): จำเป็นในปริมาณน้อยเกินไปจะมีผลต่อรสชาติ
- ซัลเฟต (Sulfate): เพิ่มความขมของฮอปส์และความสดชื่น
- คลอไรด์ (Chloride): เพิ่มรสชาติหวานและความนุ่มนวล
- ความสะอาดของน้ำ (Water Purity)
- น้ำต้องไม่มีสารปนเปื้อน เช่น คลอรีนหรือคลอรามีน เนื่องจากจะทำให้เกิดรสชาติไม่พึงประสงค์ในเบียร์
- การกรองน้ำหรือการใช้ระบบบำบัดน้ำ เช่น ระบบ RO (Reverse Osmosis) ช่วยให้ได้น้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์
ตัวอย่างน้ำ ในพื้นที่ที่มีชื่อเสียงใน การทำเบียร์
- เบลเยียม: น้ำในบางพื้นที่มีแร่ธาตุสูง ทำให้เบียร์มีรสชาติและลักษณะเฉพาะตัว
- เช็กเกีย (Pilsner): น้ำอ่อนที่ใช้ทำเบียร์พิลส์เนอร์ มีรสชาติสดชื่นและนุ่มนวล
- เยอรมนี: น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ มีความกระด้างแตกต่างกัน ทำให้มีสไตล์เบียร์ที่หลากหลาย
- ผู้ผลิตคราฟต์เบียร์มักจะปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำให้เหมาะสมกับเบียร์ที่ต้องการผลิต โดยการเพิ่มหรือลดแร่ธาตุ และปรับค่า pH เพื่อให้ได้รสชาติและลักษณะที่ดีที่สุด
ขั้นตอนการเตรียมน้ำสำหรับทำคราฟต์เบียร์ในประเทศไทย
- การทดสอบคุณภาพน้ำ (Water Testing)
- ทำการทดสอบน้ำเพื่อวัดค่า pH และปริมาณแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟต และคลอไรด์
- ตรวจสอบว่ามีสารปนเปื้อนหรือไม่ เช่น คลอรีนหรือโลหะหนัก
- การกรองน้ำ (Water Filtration)
- ใช้ระบบกรองน้ำเพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อน เช่น คลอรีน คลอรามีน และสิ่งสกปรกอื่น ๆ
- ระบบกรองที่นิยมใช้คือระบบคาร์บอนกรอง (Carbon Filtration) หรือระบบ RO (Reverse Osmosis)
- การปรับค่า pH (pH Adjustment)
- ปรับค่า pH ของน้ำให้เหมาะสมสำหรับการทำเบียร์ ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.2-5.5
- ใช้สารเคมีที่ปลอดภัย เช่น กรดฟอสฟอริก หรือกรดแลคติก ในการปรับค่า pH
- การปรับปรุงแร่ธาตุ (Mineral Adjustment)
- เพิ่มหรือลดปริมาณแร่ธาตุตามความจำเป็นเพื่อให้ได้คุณสมบัติของน้ำที่เหมาะสมสำหรับเบียร์แต่ละประเภท
- การเพิ่มแคลเซียมเพื่อช่วยในการทำงานของเอนไซม์ การเพิ่มซัลเฟตเพื่อเพิ่มความขมของฮอปส์ หรือการเพิ่มคลอไรด์เพื่อเพิ่มรสชาติหวานและนุ่มนวล

ตัวอย่างการใช้น้ำในคราฟต์เบียร์ในประเทศไทย
- เบียร์ประเภท Pale Ale และ IPA
- ปรับน้ำให้มีปริมาณซัลเฟตสูงเพื่อเพิ่มความขมและกลิ่นหอมของฮอปส์
- ค่า pH ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รสชาติที่สดชื่นและกลมกล่อม
- เบียร์ประเภท Stout และ Porter
- ปรับน้ำให้มีแคลเซียมและคลอไรด์สูงเพื่อเพิ่มความเข้มข้นและรสชาติของมอลต์
- ค่า pH ที่เหมาะสมเพื่อเสริมรสชาติเข้มข้นของช็อกโกแลตและกาแฟ
- เบียร์ประเภท Wheat Beer
- น้ำที่มีความกระด้างต่ำเพื่อเสริมรสชาติที่นุ่มนวลและสดชื่น
- ค่า pH ที่เหมาะสมเพื่อเสริมความหอมและความหวานของข้าวสาลี
การจัดการคุณภาพน้ำเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ในประเทศไทยสามารถผลิตเบียร์ที่มีคุณภาพสูงและมีรสชาติที่ดีได้ตามมาตรฐานสากล
Post Views: 203